ปี ค.ศ. 2017 เป็นปีที่ฝรั่งเศสเผชิญหน้ากับการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งสำคัญ การแข่งขันครั้งนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้ระหว่างสองพรรคการเมือง แต่เป็นการเผชิญหน้าระหว่างแนวคิดทางการเมืองและสังคมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หนึ่งด้านเป็นตัวแทนของความนิยมแบบคลาสสิก และอีกด้านหนึ่งนำเสนอชาตินิยมสุดโต่ง
ฝ่ายแรกนำโดย Emmanuel Macron อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจในรัฐบาล Socialist ของ François Hollande Macron เป็นผู้มาจากโลกการเมืองที่ไม่ใช่คนดั้งเดิม เริ่มต้นอาชีพของเขาในฐานะนักธนาคารและข้าราชการประจำกระทรวงเศรษฐกิจ ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบาย
Emmanuel Macron ก่อตั้งพรรคใหม่ชื่อ En Marche! (On the Move!) เพื่อนำเสนอนโยบายที่เน้นความทันสมัยและการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการลดภาษี การยกเลิกกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น และการเพิ่มความยืดหยุ่นของตลาดแรงงาน
ฝ่ายตรงข้ามของ Macron คือ Marine Le Pen ผู้นำพรรค National Rally (FN) อดีตพรรค Front National ซึ่งมีนโยบายชาตินิยมสุดโต่ง การต่อต้านอัตราสูงของผู้อพยพ และการออกจากสหภาพยุโรป
Le Pen ยืนกรานว่านโยบายของ Macron จะทำลายอัตลักษณ์ของฝรั่งเศส และทำให้ประเทศตกอยู่ภายใต้นโยบาย neoliberal ที่ไม่เป็นธรรม
ผลการเลือกตั้ง显示ว่า Macron ได้รับคะแนนเสียง 66.1% ในรอบที่สอง Le Pen ได้รับเพียง 33.9% การชนะครั้งนี้ทำให้ Macron กลายเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นผู้ให้ความหวังแก่ชนชั้นกลางและกลุ่มคนรุ่นใหม่
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งปี 2017 ก็เผยให้เห็นถึงความแบ่งขั้วในสังคมฝรั่งเศสอย่างชัดเจน ผลการโหวตแสดงให้เห็นว่าประเทศถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง:
กลุ่ม | สนับสนุน Macron | สนับสนุน Le Pen |
---|---|---|
อายุ | 18-34 ปี | 50-64 ปี |
ระดับการศึกษา | ปริญญาตรีขึ้นไป | มัธยมศึกษาตอนปลายหรือต่ำกว่า |
อาชีพ | ข้าราชการ นักวิชาการ ผู้ประกอบการ | ผู้ว่างงาน หรือพนักงาน unskilled labor |
พื้นที่ | เมืองใหญ่ | ชนบท |
ผลลัพธ์ของการเลือกตั้งครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อทิศทางการเมืองของฝรั่งเศส
Macron ได้เริ่มดำเนินการปฏิรูปตามที่เขาได้สัญญาไว้ โดยเฉพาะในด้านการประกันสังคม การศึกษา และตลาดแรงงาน
อย่างไรก็ตาม นโยบายของ Macron ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งฝ่ายซ้ายและขวา เพราะมองว่าเป็นนโยบาย neoliberalism ที่ไม่คำนึงถึงความต้องการของประชาชน
Le Pen และ FN ยังคงมีอิทธิพลทางการเมืองอย่างมาก แม้จะแพ้เลือกตั้ง แต่พวกเขาก็ยังคงสนับสนุนแนวคิดชาตินิยมและต่อต้านอัตราสูงของผู้อพยพ ซึ่งเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงในสังคมฝรั่งเศส
การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสปี 2017 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมที่เกิดขึ้นในยุโรป การแข่งขันครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของอนาคต และความจำเป็นในการหาสมดุลระหว่างความทันสมัย ความก้าวหน้า และการรักษาอัตลักษณ์ของชาติ